วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด

ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด


ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด

ช่วงนี้คุณผู้หญิงมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ บ้างหรือเปล่าคะ ถ้ามีนั่นคือสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพราะโรคนี้ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารเหล่านี้ค่ะ

1.น้ำมันสลัด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E จะช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง

2.เนื้อปลา DHA ช่วยในการทำงานของเซลล์ประสาท

3.ผักใบเขียว เป็นแหล่งของกรดโฟเลตช่วยลดระดับของกรดอะมิโนชนิด Homocysteine สาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์

4.อะโวคาโด มีวิตามิน E สูงป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง และช่วยบำรุงผิว

5.เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามิน E ป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง

6.ถั่วลิสงและเนยถั่ว แหล่งของไขมันที่ดี และเต็มไปด้วยวิตามิน E ช่วยให้หัวใจและสมองมีสุขภาพดีและทำงานอย่างถูกต้อง

7.ไวน์แดง หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์

8.ผลเบอร์รี่ ช่วยกำจัดสารพิษของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความจำ

9.ธัญพืชไม่ขัดสี ลดปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือด ซึ่งอาจมีบทบาทในการเกิดโรคจากสมอง

โลกาภิวัตน์


ความหมายของโลกาภิวัตน์

การให้ความหมายของโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ความหมายของโลกาภิวัตน์ก็เป็นปัญหาในการให้ความหมายในตัวของมันเอง และด้วยเหตุนี้จึงมีบ่อยครั้งที่การใช้คำว่าโลกาภิวัตน์มีการใช้อย่างคลาดเคลื่อนอย่างไม่ระมัดระวังตามความเข้าใจของผู้ที่ใช้

Jan Aart Scholte (2000: 15-17) ได้ประมวลออกมาว่านักวิชาการมีการใช้คำว่า Globalization ซ้ำซ้อนกับแนวความคิดทางวิชาการอย่างน้อย 5 แนวความคิด ซึ่งเป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้นในวงวิชาการทางรัฐศาสตร์ การระหว่างประเทศ ทางเศรษฐศาสตร์ และ ทางสังคมศาสตร์ก่อนหน้านี้

1. การใช้โลกาภิวัตน์ ซ้ำซ้อนกับปรากฎการณ์การ Internationalization (ซึ่งในที่นี้ จะใช้คำว่า กระบวนการระหว่างประเทศ) ซึ่งแนวความคิดนี้ไม่ใช่เรื่องเพียงในวงการศึกษาของรัฐศาสตร์ภาคการระหว่างประเทศ แต่มีปรากฎการณ์ตามแนวคิดที่เกิดขึ้นหลากหลายที่เป็นอิทธิพลของปรากฎการณ์นี้ อาทิ Colonization, Westernization, Industrialization, McDonolization, Americanization เป็นต้น ที่เป็นแนวความคิดของเรื่องของกระบวนการระหว่างประเทศและการข้ามพรมแดนของรัฐชาติ กระบวนการเหล่านี้ แน่นอนที่สุดว่า มีการใช้ในลักษณะที่เป็นคำเหมือนของโลกาภิวัตน์ที่ปรากฎในงานหลายชิ้น

2.ในทางเศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมืองมีการใช้คำว่า Globalization ในฐานะคำเหมือนของ Liberalization หรือเสรีนิยม ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า เสรีนิยมเป็นแนวความคิดทางวิชาการที่มีมาอย่างนมนาน พัฒนาควบคู่กับกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่พัฒนามาพร้อมกันกับกระบวนการปฎิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แนวความคิดของเสรีนิยมเป็นการต่อสู้เรียกร้องการลดบทบาทของรัฐโดยมีความเชื่อว่า อำนาจรัฐเป็นตัวสะกัดกั้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มันมีระบบของความสมดุลในตัวของมันเอง ดังนั้นรัฐจึงทำหน้าที่สะกัดกั้นการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และ จำเป็นต้องเปิดพื้นที่หรือพยายามลดอาณาบริเวณอำนาจรัฐที่คอยขวางกันของความเป็นอิสระของการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจโดยพยายามลดกฎระเบียบทางการค้าและการลงทุนต่างๆ แน่นอนที่สุดว่า มีนักวิชาการไม่น้อยที่มีการเชื่อว่า economic globalization ก็คือ Neo-liberalism หรือ เสรีนิยมใหม่นั่นเอง

3.ในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ Globalization มีความหมายถึงกระบวนการทำให้เป็นสากล(หรือที่เราเข้าใจในแนวความคิดของUniverzalization) ซึ่งในความเป็นจริงโลกาภิวัตน์เป็นกระบวนการที่ทำให้มวลมนุษยชาติเกิดการลดความแตกต่างอันเกิดจากพื้นที่และการสื่อสาร ที่ทำให้เราเสมือนอยู่ในโลกที่เล็กลง ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางการสื่อสารและเกิดความเป็นสากล หรือลดความแตกต่างของคนและสังคมในแต่ละท้องที่ที่ห่างไกลกัน

4. Globalization ในฐานะ Westernization (การทำให้เป็นตะวันตกนิยม) และ Modernization (การทำให้เป็นสมัยใหม่) ในวงการการรัฐศาสตร์นั้นแนวความคิดการทำให้ทันสมัยมาพร้อมกับอิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกในยุโรป ที่ขับเคลื่อนอิทธิพลตะวันตก ให้เป็นวัฒนธรรมของโลกที่ทันสมัย การแผยแพร่และการผลักดันมาพร้อมกับกำลังความก้าวหน้าทางเทดโนโลยี ที่เป็นกำลังในการครอบงำกึ่งบังคับในรูปของลัทธิล่าอาณานิคม (colonialism) หลังจากการล่าอาณานิคม ประเทศต่างๆที่ไม่มีอำนาจในการต่อกรก็ต้องรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับเปลี่ยนที่ทันสมัยในสมัย ศตวรรษที่ 19 คือ การปฎิรูประบบราชการ และ การวางรากฐานการพัฒนาทุนนิยม และรวมถึงการปลูกรากฐานระบบคิดแบบเหตุผล และ วิทยาศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มีการขยายตัวแผ่กว้างเป็นปรากฎการณ์ระหว่างประเทศ และอาจถูกมองว่าเป็นมิติที่มีกระบวนการคล้ายการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลกาภิวัตน์

5.Globalizationคือกระบวนการการลดพื้นที่ชายขอบทางอำนาจของรัฐ(Deterritorialization) การพิจารณาบทบาทของกระบวนการ Globalization ที่ทำให้เกิดการปรับตัวของอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดแนวคิดภูมิภาคนิยม (regionalism) และท้องถิ่นนิยม (localism) ตลอดจนการปรับตัวทางการเมืองของโครงสร้างเหนือรัฐ (supra-territoriality) การปรับตัวดังกล่าวเป็นการปรับตัวของรัฐที่จะเผชิญกับอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ เพื่อการอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ ซึ่งความสัมพันธ์ทางสังคมมีการเชื่อมตัวกันอย่างเข้มข้นและชัดเจนมากขึ้นกว่าที่เคยเกิดมา อันเป็นผลจากการเชื่อมโยงของความสัมพันธ์ทางสังคมอื่นๆ ที่มีความห่างไกล (Giddens 1990:64) ความสัมพันธ์ที่อยู่ห่างไกลมีการลดลงด้วยกระบวนการโลกาภิวัตน์ ที่เป็นตัวทำให้สภาพทางภูมิประเทศ พื้นที่ ชายแดน (territorial borders) ไม่กลายเป็นข้อจำกัดของแรงของอิทธิพลของความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยกระบวนการโลกาภิวัตน์

อย่างไรก็ดี Scholte (2000) ได้ถกว่า เราไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะใช้คำว่า Globalization แทนที่แนวความคิดทางวิชาการอย่างการใช้กระบวนการระหว่างประเทศ(internationalization)ที่มีความหมายเทียบเท่ากับ Globalization หรือมีการใช้ globalization มีความหมายเทียบเท่ากับกระบวนการสากลนิยม (univerzalization) ตลอดจนเราไม่มีความจำเป็นที่จะเข้าใจGlobalization ในฐานะกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) หรือ กระบวนการของการเปลียนแปลงตามแรงและอิทธิพบของลัทธิล่าอาณานิคม( colonialism )และ จักรวรรษนิยม (imperialism)
แม้ว่า แน่นอนที่สุด โลกาภิวัตน์จะเป็นเรื่องที่น่าคิดว่ามีความแตกต่างจากกระแสแนวความคิดของกระบวนการระหว่างประเทศ( internationalization), กระบวนการสากลนิยม ( universalization), กระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่( modernization) แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า เป็นการยากที่จะมีการฟันธงว่า โลกาภิวัตน์มีความแตกต่างจากกระบวนการ อย่างกระบวนการระหว่างประเทศ( internationalization), กระบวนการสากลนิยม ( universalization), กระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่( modernization)อย่างสิ้นเชิง 
 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พายุสุริยะ






ทีมวิจัยกล้องสำรวจเคปเลอร์รายงานว่า ค้นพบระบบสุริยะอื่นเพิ่มอีก 11 ระบบ รวมดาวเคราะห์ทั้งหมด 26 ดวง

การค้นพบครั้งนี้ส่งผลให้จำนวนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเราเพิ่มขึ้นเป็น 729 ดวง โดย 60 ดวงจากทั้งหมดเป็นการค้นพบโดยทีมนักวิจัยเคปเลอร์ ที่ส่งกล้องเคปเลอร์ขึ้นสู่อวกาศในเดือนมีนาคมปี 2552 เพื่อตรวจหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา ผ่านการตรวจการเปลี่ยนแปลงของแสงของดาวฤกษ์กว่า 150,000 ดวง ในกลุ่มดาวหงส์และกลุ่มดาวพิณ

นักวิทยาศาสตร์ทีมเคปเลอร์รายงานว่า ขณะนี้มีดาวเคราะห์ถึง 2,300 ดวงที่กำลังรอการยืนยันสถานะเพิ่มเติมอยู่

        อย่างไรก็ตาม ระบบสุริยะอื่นที่ถูกค้นพบทั้งหมด ไม่มีระบบใดที่มีความคล้ายคลึงกับระบบสุริยะของเราสักระบบเดียว แม้ระบบสุริยะเคปเลอร์-33 จะมีจำนวนดาวเคราะห์ใกล้เคียงกับเรา แต่ดวงอาทิตย์มีอายุมากกว่า และมีขนาดใหญ่กว่าของเรา และดาวบริวารทั้ง 5 ดวงก็โคจรใกล้กับดวงอาทิตย์มากกว่าดาวพุธเสียอีก

ดาวเคราะห์ทั้ง 5 ดวงมีขนาดตั้งแต่ 1.5 เท่าของโลก ไปจนถึง 5 เท่าของโลก และนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ประกอบไปด้วยพื้นแผ่นดินเหมือนโลก หรือประกอบไปด้วยกลุ่มก๊าซแบบดาวพฤหัสบดี

ก่อนหน้านี้กล้องเคปเลอร์ตรวจพบดาวฤกษ์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบทั้งหมด 6 ดวง และระบบสุริยะอื่นที่มีดาวเคราะห์ 5 ดวงอีก 1 ระบบ รวมถึงระบบสุริยะอื่นอีก 9 ระบบที่มีดาวบริวารระบบละ 2-3 ดวง รวมจำนวนดาวเคราะห์ที่มีการค้นพบครั้งทั้งหมด 26 ดวงด้วยกัน

นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ แจ็ก ลิสเซอร์ กล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามใหม่ เช่น เริ่มมีคำถามเกี่ยวกับระบบสุริยะอื่น มากกว่าวิเคราะห์แค่ดาวเคราะห์ อาทิ ระบบสุริยะอื่นมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของขนาดหรือไม่ มีความห่างของวงโคจรเท่าใด และต่างจากระบบสุริยะเราในแง่ใดบ้าง.
[27 มกราคม] ฮือฮา! หลายประเทศขั้วโลกเหนือเห็นแสงเหนือจากพายุสุริยะ






คลิปแสงเหนือสุดงดงามในประเทศขั้วโลกเหนือ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Jonathan Ranson, Maurice Henderson, Tom Lowe, Brian Horisk

เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาว่า ประชาชน ในแถบประเทศขั้วโลกเหนือ ต่างตระการตากับแสงเหนือสุดงดงาม หลังเกิดพายุสุริยะครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยปรากฎการณ์แสงเหนือ หรือออโรร่านี้ ได้เริ่มปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าแถบประเทศขั้วโลกเหนือตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม ก่อนจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแสงรูปร่างประหลาด แต่สวยงามตระการตา ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ สก๊อตแลนด์ อเมริกาเหนือ และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ได้ยลความงดงามนี้ ก่อนเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก








ทั้งนี้ ปรากฎการณ์แสงเหนือที่ชัดเจนสวยงามครั้งนี้ เกิดขึ้นจากพายุสุริยะระลอกใหญ่ที่รุนแรงที่สุดใน 6 ปี ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งช่างภาพหลายคนได้ให้ความเห็นว่า แสงเหนือครั้งนี้นั้นชัดเจนและงดงามกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อนเสียอีก ขณะที่ทางด้านสำนักงานพยากรณ์อากาศและอวกาศแห่งสหรัฐฯ ได้ระบุว่า แสงเหนือนี้อาจปรากฎให้เห็นบนท้องฟ้าแถบขั้วโลกเหนือได้อีกราว ๆ 2 วันเลยทีเดียว


[29 ธันวาคม 2553] ฮือฮา! พายุสุริยะ ทะลุเกราะแม่เหล็กโลก

พายุสุริยะ

ภาพถ่ายพายุสุริยะทะลุเกราะแม่เหล็กโลกแถบสแกนดินีเวีย วันที่ 29 ธันวาคม 2553



คลิป ความรู้เรื่อง พายุสุริยะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย, Sunflower Cosmos, วิชาการ.คอม, Wikipedia , Mr.Vop's Blog


เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม Mr.Vop's Blog ได้แสดงภาพถ่ายการลุกสว่างของแถบออโรร่า ที่กล้องบนดาวเทียม F17 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สามารถจับภาพไว้ได้ โดยเหตุการณ์การลุกสว่างของแถบออโรร่านี้ เกิดขึ้นบนน่านฟ้าทางเหนือของประเทศแถบแสกนดิเนเวีย หลังเกิดปรากฎการณ์กลุ่มพายุสุริยะขนาด G1 เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ในจังหวะที่กระแสแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์หันขั้วใต้เข้าหาโลก ทำให้เกิดรูทะลุบนเกราะแม่เหล็กของโลก

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ Paul McCrone ได้นำปรากฎการณ์พายุสุริยะทะลุเกราะแม่เหล็กของโลกครั้งนี้ ไปวิเคราะห์ โดยใช้ข้อมูลทั้งจากระดับแสงที่ตามองเห็นได้ และจากระดับแสงในช่วงคลื่นอินฟาเรด มาประมวลผล เพื่อศึกษาและใช้ประโยชน์ต่อไป เนื่องจากการทะลุเข้ามาของพายุสุริยะที่มีระดับ 60 โปรตรอนต่อตารางเซนติเมตรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก

แล้ว พายุสุริยะ คืออะไร จะทำอันตรายอย่างไรต่อโลกของเรา กระปุกดอทคอม จะมาอธิบายให้ฟังกันค่ะ


พายุสุริยะ

พายุสุริยะ ลักษณะเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่พัดปะทะโลกอย่างรุนแรง แล้วผ่านไปถึงดาวพฤหัสได้

พายุสุริยะ

พายุสุริยะ

พายุสุริยะ

สนามแม่เหล็กโลกปกป้องเรา ขณะพายุสุริยะพัดเข้ามา

พายุสุริยะ
อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทร (สีส้ม สีเหลือง) มีความร้อนสูงในพื้นที่วงกว้างมาก

พายุสุริยะ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ชาวไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่สำหรับที่ประเทศอังกฤษ มีรายงานข่าวว่า นักวิทยาศาสตร์กำลังหวาดวิตกถึงปรากฏการณ์ พายุสุริยะ เป็นอย่างมาก และถึงขั้นที่ทำให้ ดร.เลียม ฟ็อกซ์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอังกฤษ สั่งประชุมฉุกเฉิน เพื่อหาทางรับมือหากเกิด พายุสุริยะ ขึ้นเลยทีเดียว

นั่นเพราะเคยมีการคาดการณ์กันว่า ปรากฏการณ์ พายุสุริยะ จะพุ่งเข้าสู่โลกครั้งต่อไปในช่วงปี ค.ศ 2012 และจะนำมาซึ่งความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะทำให้ระบบการสื่อสารและคมนาคม รวมทั้งระบบอินเทอร์เน็ตล่มไปทั่วโลก ส่งผลต่อระบบไฟฟ้า การบิน เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี ค.ศ.1859 ที่ พายุสุริยะ ได้เข้าถล่มประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอาจจะทำให้เกิดพายุหมอกควันปกคลุมไปทั่วเมืองใหญ่ ๆ ของยุโรปด้วย


แล้ว พายุสุริยะ คืออะไร?

สำหรับ พายุสุริยะ (Solar Wind) ที่คนเริ่มให้ความสนใจนั้นก็คือ เปลวไฟขนาดใหญ่ที่พุ่งออกจากดวงอาทิตย์ เกิดจากการสะสมพลังงานแม่เหล็กในดวงอาทิตย์ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีการต่อใหม่ของสนามเหล็ก จะเกิดการปะทุออกมาเป็นพลังงานความร้อน และปล่อยก้อนมวลขนาดใหญ่จากโคโรนา (Coronal Mass Ejection : CME) หรือเส้นรัศมีรอบวงกลมสีดำที่อยู่ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ออกมาเป็น พายุสุริยะ ได้

จักรวาล อวกาศ


พายุสุริยะ เกิดบ่อยแค่ไหน?

ตามปกติพายุสุริยะจะเกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีจุดมืดมากในดวงอาทิตย์ บางครั้งอาจเกิดทุกวัน วันละหลายครั้งก็เป็นได้ แต่หากเป็นพายุสุริยะที่รุนแรงมาก จะเกิดในรอบวัฏจักรเฉลี่ยทุก ๆ 11 ปี (Solar Cycle) ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นเล็กน้อยก็ได้

ทั้งนี้ การเกิด พายุสุริยะ จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นครั้งเป็นคราว และไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ แต่สามารถคาดการณ์ได้ว่า พายุสุริยะ จะเกิดขึ้น โดยสังเกตว่า เริ่มมีจุดมืดจำนวนมากบนดวงอาทิตย์

พายุสุริยะ ส่งผลกระทบต่อโลกแค่ไหน?

หลายคนฟังคำว่า พายุสุริยะ แล้วคงจะรู้สึกกลัวถึงอานุภาพของมัน แต่จริง ๆ แล้ว พายุสุริยะ ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ทำลายสิ่งปลูกสร้าง หรือทำให้มนุษย์บาดเจ็บล้มตายได้ แต่สิ่งที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อเกิด พายุสุริยะ ขึ้นก็คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับสนามแม่เหล็กของโลก ซึ่งเป็นตัวคอยกั้นโลกจากรังสีของดวงอาทิตย์อยู่ เช่น ระบบการสื่อสารคมนาคมทางวิทยุ ระบบการบิน ดาวเทียม ระบบไฟฟ้า ฯลฯ

ทั้งนี้หากสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ได้รับผลกระทบ แน่นอนว่า ย่อมมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไปทั่วโลก เช่น เครื่องบินต้องหยุดบินชั่วคราว ดาวเทียมใช้งานไม่ได้ การติดต่อสื่อสารระหว่างกันเกิดปัญหา หรืออาจทำให้หม้อแปลงที่โรงปั่นไฟฟ้าเสียหายได้ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระบบต่าง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจาก พายุสุริยะ ก็สามารถเตรียมการป้องกันล่วงหน้า เพื่อให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดได้ อย่างเช่น หากมีการบินในช่วงเกิดพายุสุริยะ นักบินก็ต้องหลีกเลี่ยงการบินผ่านบริเวณขั้วโลก แต่ให้บินอ้อมไปทางอื่น ที่จะปลอดภัยจากกัมมันตภาพรังสีมากกว่า


ส่วนนักบินอวกาศ หากนักบินอวกาศออกไปจากสนามแม่เหล็กโลก แล้วเกิดพายุสุริยะขึ้นในช่วงนั้น นักบินอวกาศก็ยังเสี่ยงต่อการได้รับสารกัมมันตภาพรังสี ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย เช่นเดียวกับโลก ที่เมื่อรังสีต่าง ๆ สะสมอยู่ในโลกมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร ร่างกายของมนุษย์ยังจะได้รับรังสีผ่านทางน้ำ อาหาร นำไปสู่โรคชนิดใหม่ขึ้นได้

พายุสุริยะ

แสงออรอร่าเกิดจากอนุภาคมากับ พายุสุริยะ


ขณะเดียวกัน เมื่อเกิด พายุสุริยะ ขึ้น จะมีการปล่อยมวลจากโคโรนาเข้าปะทะกับสนามแม่เหล็กของโลก และบีบสนามแม่เหล็กให้เข้ามาใกล้ เกิดเป็นอนุภาคที่เรียกว่า "แถบรังสี" เมื่อสนามแม่เหล็กบีบตัวเข้ามา อนุภาคเหล่านี้จะชนกับบรรยากาศของโลก เกิดเป็นแสงเหนือแสงใต้ หรือที่เรียกว่า "ออโรรา" (Aurora) ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ในประเทศแคนาดา แต่หาก พายุสุริยะ แรงมาก แสงออโรราจะส่องลงมาให้เห็นถึงที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เลย


พายุสุริยะ ครั้งต่อไป จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

พายุสุริยะ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1989 เป็นพายุสุริยะระดับธรรมดา เกิดขึ้นที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ทำให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดของเมืองดับนานกว่า 9 ชั่วโมง และยังส่งผลกระทบไปถึงทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา และสวีเดนด้วย ดังนั้น จึงมีการทำนายกันว่า พายุสุริยะครั้งใหญ่ที่จะพุ่งเข้าสู่โลก จะเกิดอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.2011-2014 ซึ่งเป็นช่วงครบรอบ 11 ปีของวัฏจักรพอดี แต่ยังไม่สามารถระบุช่วงเวลาที่แน่นอน และความรุนแรงได้


พายุสุริยะ


และแม้ว่า พายุสุริยะ จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรง แต่หากในอนาคต ปัญหาโลกร้อน และปฏิกิริยาเรือนกระจกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก ๆ วัน โอกาสที่ พายุสุริยะ จะเกิดแบบถาวรและมีอานุภาพรุนแรงมากขึ้นก็เป็นไปได้มาก นั่นก็เพราะเมื่อเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก คือโลกจะหมุนรอบตัวเองช้าลง และส่งผลต่อระบบสนามแม่เหล็กที่คอยกั้นโลกจากพายุสุริยะอยู่ ซึ่งหากในอนาคตสนามแม่เหล็กของโลกอ่อนแอลง พายุสุริยะ ก็อาจมีอานุภาพเข้าถึงโลกได้มากขึ้น และมนุษย์จะได้รับผลกระทบมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้




วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


โครงการกำจัดปลวกในพื้นที่สวนด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร

หลักการและเหตุผล
   เนื่องจากในพื้นที่สวนมีจอมปลวกเกิดขึ้น ทำให้สภาพภูมิทัศน์เมื่อสังเกตุเห็นจอมปลวกเกิดขึ้นใน
พื้นที่สวนทำให้ไม่น่ามองและเป็นอันตรายต่อพันธุ์ไม้ภายในมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเมื่อก่อนการกำจัด
ปลวกในพื้นที่สวนจะใช้ยากำจัดปลวกในการกำจัด จากการสังเกตุปลวกจะตายเมื่อสัมผัสโดนยากำจัด
ปลวกและก่อจอมปลวกขึ้นมาใหม่ในช่วงฤดูฝนทำให้ยากต่อการกำจัดและมีสารพิษเจือปนซึ่งเป็นอัน
ตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อผู้ผลิตสารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดปลวก จึงได้มีการทด
ลองกำจัดปลวกในพื้นที่ขึ้นบริเวณสวนป่าข้างสนามเทนนิสและบริเวณทะเลสาบทดลองเดือนละ 1 ครั้ง
เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าจอมปลวกลดน้อยลงและลดจำนวนไปไม่ก่อจอมปลวกขึ้นมาอีก

วัตถุประสงค์
   1.เพื่อลดการใช้สารเคมี
   2.เพื่อกำจัดปลวกให้หมดไปจากพื้นที่สวน
   3.เพื่อลดค่าใช้จ่าย
   4.ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เครื่องมือและอุปกรณ์
   1.สารกำจัดปลวกสกัดจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ(สว่นผสม พริก งา สาบเสือ หางไหลและน้ำมัน
     ธรรชาติ)
   2.กระบอกฉีดยา
   3.บัวรดน้ำ(ความจุ 10 ลิตร)
   4.จอบหรือเสียม

วิธีดำเนินการ
   สำหรับพื้นที่ภายในจุดดูจอมปลวกจุดบริเวณที่เคยทำการทดลอง โดยเพิ่มจุดทำการทดลองบริเวณ
สันเขื่อนหลังจากนั้นจัดเตรียมสารสกัดพืชสมุนไพร บัวรดน้ำขนาดบรรจุน้ำ 10 ลิตร จอบหรือเสียมสำ
หรับขุดสำหรับย่อยจอมปลวกให้เป็นก้อนเล็กๆ นำสารสกัดสมุนไพรกำจัดปลวกผสมกับอัตราส่วน 250
ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตร ผสมสารสกัดสมุนไพรให้เข้ากับน้ำ ใช้จอบหรือเสียมทำลายจอมปลวกย่อยให้เป็น
ก้อนเล็ก ขุดลึกลงไปในดินประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อขุดจอมปลวกส่วนที่อยู่ในดินขึ้นมาย่อยให้ละ
เอียดและใช้สารสกัดสมุนไพรที่ผสมไว้แล้วราดลงบริเวณจอมปลวกให้ทั่วบริเวณ จะสังเกตุพบว่าจอม
ปลวกที่โดนสารสกัดสมุนไพรจะตายทันที่ส่วนตัวที่ไม่ตายจะมากินตัวที่ตาย และทำให้เป็นหมันไม่
สามารถขยายพันธุ์ได้ต่อไปหลังจากนั้นจดบันทึกวันเวลาที่ปฏิบัติงานและบันทึกการทดลอง และสังเกตุ
การทดลองเมื่อดำเนินการกำจัดปลวกด้วยสารสกัดจากสมุนไพรจะสังเกตุจอมปลวกว่ามีการพัฒนาขึ้น
ในฤดูฝนหรือไม่ สรุปผลการทดลองสารสกัดจากสมุนไพร

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
   1.ลดการใช้สารเคมี
   2.กำจัดปลวกให้หมดไปจากพื้นที่สวน
   3.ลดค่าใช้จ่าย
   4.ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สรุปผลการทดลอง
   จะสังเกตุพบ่วาปลวกที่โดนสารสักดสมุนไพรจะตายทันทีส่วนตัวที่ไม่ตายจะมากินตัวที่ตายและทำ
ให้เป็นหมันไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ต่อไป หลังจากนั้นจดบันทึกวันเวลาที่ปฏิบัติงานและบันทึกการทด
ลองและสังเกตุผลการทดลองเมื่อดำเนินการกำจัดปลวกด้วยสารสกัดจากพืช
 
โครงการกำจัดปลวกในพื้นที่สวนด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร

หลักการและเหตุผล
   เนื่องจากในพื้นที่สวนมีจอมปลวกเกิดขึ้น ทำให้สภาพภูมิทัศน์เมื่อสังเกตุเห็นจอมปลวกเกิดขึ้นใน
พื้นที่สวนทำให้ไม่น่ามองและเป็นอันตรายต่อพันธุ์ไม้ภายในมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเมื่อก่อนการกำจัด
ปลวกในพื้นที่สวนจะใช้ยากำจัดปลวกในการกำจัด จากการสังเกตุปลวกจะตายเมื่อสัมผัสโดนยากำจัด
ปลวกและก่อจอมปลวกขึ้นมาใหม่ในช่วงฤดูฝนทำให้ยากต่อการกำจัดและมีสารพิษเจือปนซึ่งเป็นอัน
ตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อผู้ผลิตสารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดปลวก จึงได้มีการทด
ลองกำจัดปลวกในพื้นที่ขึ้นบริเวณสวนป่าข้างสนามเทนนิสและบริเวณทะเลสาบทดลองเดือนละ 1 ครั้ง
เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าจอมปลวกลดน้อยลงและลดจำนวนไปไม่ก่อจอมปลวกขึ้นมาอีก

วัตถุประสงค์
   1.เพื่อลดการใช้สารเคมี
   2.เพื่อกำจัดปลวกให้หมดไปจากพื้นที่สวน
   3.เพื่อลดค่าใช้จ่าย
   4.ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เครื่องมือและอุปกรณ์
   1.สารกำจัดปลวกสกัดจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ(สว่นผสม พริก งา สาบเสือ หางไหลและน้ำมัน
     ธรรชาติ)
   2.กระบอกฉีดยา
   3.บัวรดน้ำ(ความจุ 10 ลิตร)
   4.จอบหรือเสียม

วิธีดำเนินการ
   สำหรับพื้นที่ภายในจุดดูจอมปลวกจุดบริเวณที่เคยทำการทดลอง โดยเพิ่มจุดทำการทดลองบริเวณ
สันเขื่อนหลังจากนั้นจัดเตรียมสารสกัดพืชสมุนไพร บัวรดน้ำขนาดบรรจุน้ำ 10 ลิตร จอบหรือเสียมสำ
หรับขุดสำหรับย่อยจอมปลวกให้เป็นก้อนเล็กๆ นำสารสกัดสมุนไพรกำจัดปลวกผสมกับอัตราส่วน 250
ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตร ผสมสารสกัดสมุนไพรให้เข้ากับน้ำ ใช้จอบหรือเสียมทำลายจอมปลวกย่อยให้เป็น
ก้อนเล็ก ขุดลึกลงไปในดินประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อขุดจอมปลวกส่วนที่อยู่ในดินขึ้นมาย่อยให้ละ
เอียดและใช้สารสกัดสมุนไพรที่ผสมไว้แล้วราดลงบริเวณจอมปลวกให้ทั่วบริเวณ จะสังเกตุพบว่าจอม
ปลวกที่โดนสารสกัดสมุนไพรจะตายทันที่ส่วนตัวที่ไม่ตายจะมากินตัวที่ตาย และทำให้เป็นหมันไม่
สามารถขยายพันธุ์ได้ต่อไปหลังจากนั้นจดบันทึกวันเวลาที่ปฏิบัติงานและบันทึกการทดลอง และสังเกตุ
การทดลองเมื่อดำเนินการกำจัดปลวกด้วยสารสกัดจากสมุนไพรจะสังเกตุจอมปลวกว่ามีการพัฒนาขึ้น
ในฤดูฝนหรือไม่ สรุปผลการทดลองสารสกัดจากสมุนไพร

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
   1.ลดการใช้สารเคมี
   2.กำจัดปลวกให้หมดไปจากพื้นที่สวน
   3.ลดค่าใช้จ่าย
   4.ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สรุปผลการทดลอง
   จะสังเกตุพบ่วาปลวกที่โดนสารสักดสมุนไพรจะตายทันทีส่วนตัวที่ไม่ตายจะมากินตัวที่ตายและทำ
ให้เป็นหมันไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ต่อไป หลังจากนั้นจดบันทึกวันเวลาที่ปฏิบัติงานและบันทึกการทด
ลองและสังเกตุผลการทดลองเมื่อดำเนินการกำจัดปลวกด้วยสารสกัดจากพืช
 

อาการรัก - ญาญ่า อุรัสยา [Official MV]

Official MV "ให้รักมันโตในใจ" - ณเดชน์ [HD]