วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โลกแตก 2012 วันสิ้นโลก

 
 
หมอลักษณ์ฟันธง ! ตอนที่ 2
หมอลักษณ์ฟันธง 2012 วันสิ้นโลก
หมอลักษณ์ ฟันธง เรื่องโลกแตก
หมอลักษณ์ ฟันธง : ผมไม่รู้ว่า ค.ศ.2012 มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกแตก แต่ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงเรื่องของโลกแตกไว้อย่างชัดเจนมากว่า ศาสนาพุทธจะมีอายุยืนยาวไปกว่า 5,000 ปี ซึ่งนั่นแปลว่าศาสนาพุทธหรือโลกใบนี้จะมีอายุยืนยาวไปกว่า 5,000 ปี ดังนั้นถ้าเราเชื่อว่าหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง เราต้องเชื่อหลักที่มีในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องกลัวว่าปี 2012 โลกจะแตก เรื่องแบบนี้เคยเกิดมาแล้วเมื่อสมัยปี 2000 ซึ่งมันเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของการขายหนัง ซึ่งแตกต่างจากหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่เน้นเรื่องปัญญา เน้นเรื่องการสืบอายุพระพุทธศาสนา วัดพระธรรมกายและวัดทั่วประเทศนี้ 30,000 กว่าวัด ให้ปัญญา สอนให้คนรู้หลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการเทศนา และระยะหลังมานี้วัดพระธรรมกายมีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดกิจกรรมร่วมของมวลมหาชนที่เป็นชาวพุทธ เช่น โครงการตักบาตรพระเป็นพันๆ รูป บวชพระเป็นแสนรูป ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญกว่าวันโลกแตกปี 2012 สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเป็นเรื่องใหม่ที่นับวันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ และก็จะจางหายไปเมื่อถึงปี 2013
2012 วันโลกแตกเป็นเรื่องที่น่าคิด
สึนามิภัยธรรมชาติรูปแบบหนึ่งที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อชีวิตและทรัพย์สิน
แต่สิ่งที่จะเกิดจะเป็นเพราะความเลวร้ายของมนุษย์ที่ทำร้ายธรรมชาติ ย่อมส่งผลต่อภัยธรรมชาติ อันจะเกิดขึ้นจากการเอาคืนของธรรมชาติอย่างยุติธรรม แผ่นดินไหว สึนามิ นั่นคือธรรมชาติ แต่ยังไม่ถึงขนาดล้างโลกนี้ให้หายไป ถ้ากลัวเหตุการณ์เหล่านี้แล้วก็ให้ไปทำบุญในพระพุทธศาสนาก็จะเป็นการดี เพราะจะได้มีบุญไว้ติดตัว ส่วนในทางโหราศาสตร์ ขอบอกว่าโลกไม่แตกหรอกครับ ขอฟันธง !
พระธรรมเทศนาเรื่อง 2012 วันสิ้นโลก โดยพระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ
ส่วนข้อคิดในทางพระพุทธศาสนา พระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ ได้ให้แง่คิดไว้ว่า : ไม่ว่าจะเป็นสึนามิ หรือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ เรียกว่าเป็นสัญญาณเตือนเลยก็ได้ แต่ยังไม่ถึงขนาดโลกจะแตกดับ แต่จะเป็นการเตือนว่าสิ่งที่มนุษย์เราทำไม่ดี มันแย่นะ การแตกดับของโลกนั่นมีวงจรของมันอยู่แล้ว แต่จะเร็วจะช้าก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ทำดีวงจรก็จะยืดยาวไป แต่ไม่ถึงขนาดจะแตกดับใน1 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้า
แล้ววงจรในการแตกดับเป็นอย่างไร ภายหลังจากที่เราได้ศึกษาในเรื่องของการเกิดของมนุษย์ในตอนที่แล้วไปแล้วนั่น ว่าหลังจากที่เกิดยุคมิคสัญญี มนุษย์ที่หนีเข้าป่าก็ได้ทำความดี สิ่งแวดล้อมก็ดีขึ้น อายุขัยก็เริ่มไขขึ้นมีอายุยืนขึ้น พออายุขัยยืนยาวนานมาก มนุษย์ก็เริ่มทำไม่ดี อายุขัยก็เริ่มลดน้อยลงอย่างนี้อีกหลายรอบ พอเต็มที่เข้าก็ถึงตอนที่กัปจะทำลายลง โดยจะมีการทำงายด้วย 3 อย่างใหญ่ คือ
1.ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก
2.น้ำประลัยกัลป์ล้างโลก
3.ลมประลัยกัลป์ล้างโลก
อุปมาว่าเป็นไฟประลัยกัลป์
โลกแตกได้ด้วยไฟประลัยกัลป์ จากดวงอาทิตย์ทั้ง 7 ดวง
ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะว่า ไฟ น้ำ และลม ที่สามารถทำลายโลกได้นี้ ไม่ใช่ ไฟ น้ำ และลมอย่างที่เราเห็นหรือรู้จักกัน แต่เป็นไฟ น้ำ และลมประลัยกัลป์ที่มีอานุภาพในการทำลายมหาศาล เพราะเกิดด้วย แรงกรรมของสัตวโลก ซึ่งถ้าจะกล่าวตรงๆ แล้ว สัตวโลกที่ว่านี้ก็คือมนุษย์นั่นเอง เพราะว่าสัตว์อื่น ไม่สามารถจะทำกรรมอะไรได้มากมายเท่ามนุษย์
ถึงแม้ว่าทั้ง ไฟ น้ำ และ ลม จะเป็นสิ่งทำลายโลกและสรรพสิ่งทั้งปวง (ซึ่งไม่มีสิ่งใดๆ ที่จะมีอานุภาพ การทำลายมากไปกว่านี้) แต่ใช่ว่าทั้ง 3 สิ่ง จะสามัคคีชุมนุมมะรุมมะตุ้มตะลุมบอนออกฤทธิ์ถล่มโลกจน แตกสลายก็หาไม่ เพราะการทำลายจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง คือถ้าเป็นไฟ ก็ไฟอย่างเดียว ถ้าเป็นน้ำก็น้ำอย่างเดียว และถ้าเป็นลมก็ลมอย่างเดียว
การที่สิ่งใดจะทำลายโลกนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์ว่า หนาแน่นไปด้วยกิเลสตระกูลใดมากที่สุด ซึ่งถ้าจิตใจมนุษย์หนาแน่นด้วยกิเลสตระกูลโทสะ โลกจะถูกทำลายด้วยไฟ ถ้ามนุษย์มีจิตใจที่หนาแน่นไปด้วย ราคะ โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ และถ้าจิตใจของมนุษย์หนาแน่นด้วยกิเลสตระกูลโมหะ โลกก็จะถูกทำลาย ด้วยลม
นอกจากโลกจะไม่ถูกทำลายด้วย ไฟ น้ำ หรือลมพร้อมกัน แต่จะถูกทำลายด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ในการทำลายของทั้ง 3 สิ่งนี้ ยังมีระยะเวลาและลำดับในการทำลายด้วย โลกจะถูกทำลายด้วยไฟเป็นสิ่งแรก และจะถูกทำลายเป็นครั้งๆ ไป ถึง 7 ครั้ง ในครั้งที่ 8 โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ หลังจากนั้นถูกทำลายด้วยไฟอีก 7 ครั้ง แล้วถูกทำลายด้วยน้ำอีก จะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งครั้งที่ 64 โลกจึง จะถูกทำลายด้วยลม 1 ครั้ง หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการเกิดขึ้นของโลกและจักรวาลขึ้นใหม่ และโลกก็จะถูกทำลายอีกจะเป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อรวมจำนวนที่โลกถูกทำลายด้วยสิ่งต่างๆ ใน 64 ครั้ง จะถูกทำลายด้วยไฟ 56 ครั้ง ถูกทำลาย ด้วยน้ำ 7 ครั้ง และถูกทำลายด้วยลม 1 ครั้ง
ดวงอาทิตย์ มีส่วนในการเกินไฟประลัยกัลป์ล้างโลก
เมื่อดวงมีดววงอาทิตย์เกิดขึ้นถึง 7 ดวง ความร้อนแรงจะไม่มีประมาณทำลายล้างได้ทุกอย่าง
1. ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก
การที่โลกถูกทำลายด้วยไฟนั้น เริ่มจากจะไม่มีฝนตกเป็นเวลายาวนาน ความแห้งแล้งเริ่มปรากฏขึ้นในกาลต่อมา ดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏขึ้น ทำให้ ขณะนั้นโลกและจักรวาลมีดวงอาทิตย์ถึง 2 ดวง ทำให้ไม่มีกลางวันและกลางคืนดวงอาทิตย์ดวงที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ จะมีความร้อนรุนแรงกว่าดวงอาทิตย์ที่มีมาแต่เดิม ทั้งนี้เป็นเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่เกิดขึ้นใหม่นี้เกิดด้วยอานุภาพกรรมของมนุษย์ จึงไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่เหมือน ดวงอาทิตย์ดวงแรกซึ่งไม่ได้เกิดจากแรงกรรม และด้วยความร้อนแรงที่มากขึ้นอย่างมหาศาล สุริยเทพบุตรที่ อาศัยอยู่ในดวงอาทิตย์ดวงเดิมนั้น ก็ไม่อาจจะอยู่ต่อไปได้ จึงเร่งทำความเพียรเจริญภาวนา เพื่อให้ได้ฌาน และหนีไปบังเกิดยังพรหมโลกชั้นสูง ซึ่งเป็นภพที่อานุภาพการทำลายไปไม่ถึง
และเพราะเหตุที่มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นถึง 2 ดวง อุณหภูมิความร้อนในโลกจึงทวีขึ้นอย่างมากมาย ส่งผลให้บนท้องฟ้าปราศจากเมฆและหมอก น้ำตามแหล่งน้ำต่างๆ เหือดแห้งน้ำที่ยังเหลืออยู่ในโลก มีเพียงน้ำในแม่น้ำ 5 สาย คือแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี มหิ และสรภู เท่านั้น มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต่างล้มตายและไปบังเกิดในพรหมโลกทั้งหมด เพราะพากันเร่งรีบเจริญภาวนาเพื่อให้ได้ฌานกัน ทั้งนี้เพราะทราบล่วงหน้าว่าภัยร้ายแรงจะมาเยือน สาเหตุที่มนุษย์ทราบว่าโลกจะถูกทำลายนั้น เนื่องจากก่อนที่โลกจะถูกทำลายแสนปี จะมีเทวดาประเภทหนึ่ง เรียกว่า โลกพยุหเทวดา นุ่งห่มด้วยผ้าสีแดง มาป่าวประกาศให้มนุษย์ทราบว่า อีกแสนปี ข้างหน้าโลกจะพินาศ รวมทั้งจักรวาล ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งปวง แม้กระทั่งภูมิของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จนถึงพรหมโลกชั้นที่ได้ปฐมฌาน และยังแนะนำต่อไปอีกว่า อย่าประมาทให้เร่งสร้างบุญกุศล เพื่อจะได้ไปเกิดในภูมิที่พ้นจากความพินาศนี้
หลังจากที่เทวดานั้นมาประกาศให้มนุษย์ทราบแล้ว มนุษย์ต่างบังเกิดความสลดสังเวชใจ จึงเร่งสร้างบุญกุศล และบำเพ็ญภาวนากันจนได้ฌานสมาบัติ ตายแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก เหล่าเทวดา และพรหมก็เช่นกัน ต่างเร่งเจริญภาวนาเพื่อจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่ปลอดภัย ส่วนสัตว์ในอบายภูมิทั้งหลายเมื่อพ้นจากวิบากกรรมมาเกิดเป็นมนุษย์ และทราบเรื่องที่เทวดามาประกาศ ก็เร่งสร้างบุญกุศลและเจริญภาวนาเช่นกัน คงเหลือเพียงผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิที่ไม่เร่งสร้างบุญกุศล เมื่อโลกถูกทำลายจึงไปบังเกิดใน ภพภูมิเดิมของจักรวาลอื่นที่ยังไม่ถูกทำลาย
หลังจากนั้นมาอีกยาวนาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏขึ้น และด้วยอานุภาพความร้อนแรงที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้น้ำที่เคยเหลืออยู่ในแม่น้ำทั้ง 5 นั้น เหือดแห้งไปจนหมดสิ้น ต่อมาปรากฏมีดวงอาทิตย์ดวงที่ 4 ความร้อนแรงยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทับทวี จนกระทั่งทำให้น้ำในสระใหญ่บริเวณป่าหิมพานต์ซึ่งละลายมาจากหิมะ แห้งหายจนหมดสิ้น น้ำในมหาสมุทรของจักรวาลเริ่มแห้งขอดลง
หลังจากนั้น ดวงอาทิตย์ดวงที่ 5 ก็บังเกิดขึ้น ถึงตรงนี้ น้ำในมหาสมุทรต่างๆ เหือดแห้งจนหมดสิ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ 6 ปรากฏ อานุภาพของความร้อนจึงทำให้แผ่นดินและภูเขาไม่หลงเหลือ ธาตุน้ำอยู่เลย ทำให้ไม่สามารถคงสภาพเดิมไว้ได้ กลายเป็นผงฝุ่นฟุ้งไปทั่วทั้งโลก
ต่อจากนั้นดวงอาทิตย์ดวงที่ 7 ก็ปรากฏขึ้น ด้วยความร้อนแรงที่ไม่มีประมาณ ทำให้โลกธาตุทั้งแสนโกฏิจักรวาลลุกเป็นไฟขึ้นพร้อมกัน เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่นกึกก้องกัมปนาท ยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา และดาวดึงส์ถอนหลุดออกจากที่ แล้วแตกแยกย่อยกระจัดกระจายสูญหายไปในอากาศ
ไฟล้างโลกเริ่มจากเมืองมนุษย์ก่อน
เปลวไฟจะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลกและจักรวาลนี้เป็นจุล
สำหรับเปลวไฟที่เผาทำลายโลกและจักรวาลนี้ จะเริ่มที่โลกมนุษย์ก่อน จากนั้นจึงลุกลามไปยังเทวโลกทุกชั้นตามลำดับ และเลยไปถึงพรหมโลกชั้นต้น ซึ่งเป็นพรหมที่ได้ปฐมฌานไฟนี้จะไหม้อยู่เป็นเวลาที่ยาวนานมาก จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ ไฟจึงมอดดับลงในพรหมโลกหลังจากไฟมอดดับไปแล้ว จักรวาลเหลือเพียงอากาศว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดๆ บังเกิดความมืดมิดขึ้นทั่วทั้งจักรวาลเป็นเวลายาวนาน
2. น้ำประลัยกัลป์ล้างโลก
การที่โลกถูกทำลายด้วยน้ำ จะไม่มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นเหมือนกับที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ โลกยังคงมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวอย่างที่เคยเป็นมา แต่การทำลายจะเริ่มจาก มีเมฆที่มีฤทธิ์เป็นกรดเกิดขึ้น แล้วฝนจึงตกลงมาจากเมฆที่มีฤทธิ์เป็นกรดนั้น ทำให้กลายเป็นน้ำกรดที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดละลายสรรพสิ่งทั้งหลายให้ละลายได้ โดยจะตกต่อเนื่อง ไม่มีขาดช่วงเลยจนกลายเป็นเหมือนสายน้ำ ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นๆ จนในที่สุด ท่วมพื้นแผ่นดินและภูเขา ท่วมโลกจนกระทั่งเต็มทั่วท้องจักรวาลทั้งแสนโกฏิจักรวาล
น้ำประลัยกัลป์คือสิ่ง 1 ใน 3 ที่จะทำให้สิ้นโลก
น้ำประลัยกัลป์จะท่วมทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่สวรรค์และชั้นพรหมบางชั้น
น้ำซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดรุนแรงนี้ จะกัดละลายทุกสิ่งทุกอย่างจนสูญสลายไม่มีเหลือ ระดับน้ำจะสูงขึ้นไป จนท่วมสวรรค์ชั้นต่างๆ ท่วมถึงพรหมโลกชั้นที่ได้ทุติยฌาน คือ พรหมปริตตาภา พรหมอัปปมาณาภา และพรหมอาภัสสรา แล้วหยุดเพียงเท่านี้ สิ่งทั้งหลายที่จมน้ำหรือถูกท่วมถึง ก็จะถูกกัดละลายจนหมดสิ้น
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกกัดละลายจนไม่เหลือสิ่งใดๆ เลย น้ำซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดนั้นจะยุบแห้งหายไป เหลือเพียงอากาศที่ว่างเปล่าโล่งเตียนไม่หลงเหลือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทั่วทั้งจักรวาลมืดมิดไม่มีแสงสว่างใดๆ
3. ลมประลัยกัลป์ล้างโลก
ในครั้งที่โลกและจักรวาลถูกทำลายด้วยลม โลกยังคงมีดวงอาทิตย์ดวงเดียวเช่นที่เคยเป็นมา แต่ การทำลายด้วยลมเริ่มจากมีลมเกิดขึ้น ในช่วงแรกเป็นเพียงลมอ่อนๆ แล้วจึงแรงขึ้นตามลำดับ จากที่พัด พาสิ่งที่มีน้ำหนักเบา ก็แรงจนสามารถทำให้สิ่งต่างๆ พัดปลิวไปในอากาศได้ เริ่มจากที่เพียงพัดฝุ่นให้ฟุ้งตลบขึ้น เป็นพัดพาทราย กรวด และก้อนหิน และแรงขึ้นจนพัดสิ่งต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ ทั้งต้นไม้ อาคารบ้านเรือน ตลอดจนสรรพสิ่ง หลุดลอยขึ้นไปในอากาศ
ลมประลัยกัลป์ล้างโลกสาเหตุของวันสิ้นโลก
ลมก็เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการเกิดวันสิ้นโลก แต่ไม่ใช่ ปี 2012 แน่แท้
ด้วยอานุภาพรุนแรงอย่างมหาศาล จึงทำให้สิ่งต่างๆ ที่ถูกพัดขึ้นไปแหลกละเอียดกระจัดกระจายไม่เหลือสิ่งใดๆ เลย ต่อมาเกิดลมขึ้นใต้ผืนแผ่นดิน ความรุนแรงของลมได้พัดพลิกแผ่นดินให้หงายขึ้น และพัดปลิวขึ้นไปในอากาศ แม้แต่ภูเขา และน้ำจากแหล่งต่างๆ ทั้งในแม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพัดปลิวขึ้นสู่อากาศ และแหลกกระจุยกระจายด้วยแรงลมที่มีความรุนแรงในการฉีกทำลายมหาศาลเขาพระสุเมรุถูกพัดหลุดลอยขึ้นไปในอากาศ และแหลกละเอียดกระจัดกระจายไม่เหลือเศษ สวรรค์ชั้นต่างๆ จักรวาลทั้งหลายกระทบกระแทกเข้าหากันจนแตกละเอียดเป็นผุยผง ตลอดจนถึงพรหมโลกชั้นที่ได้ตติยฌานทั้ง 3 อันได้แก่ พรหมปริตตสุภา พรหมอัปปมาณสุภา และพรหมสุภกิณหา ได้ถูกลมพัดทำลายจนสิ้น เมื่อสิ่งต่างๆ ถูกทำลายจนหมดสิ้น ลมจึงสงบหายไป เหลือเพียงความเวิ้งว้างของท้องจักรวาล ที่มีแต่ความว่างเปล่าโล่งเตียนไม่หลงเหลือสิ่งใดๆ ปรากฏเพียงความมืดมิดทั่วทั้งจักรวาล
การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงการทำลายของโลกนี้มิได้มีพระประสงค์ที่จะให้ผู้ใดหวาดกลัว มิได้ประสงค์จะเตือนให้ระวังภัยที่โลกจะถูกทำลาย และมิได้มีพระประสงค์จะแสดงเพื่อให้เป็นศาสตร์ว่าด้วย ความรู้เรื่องการเกิดและการทำลายของโลก แต่ที่ทรงแสดงถึงการที่โลกถูกทำลายนี้ ก็เพื่อที่จะแสดงให้เกิดความเบื่อหน่ายในโลก เบื่อหน่ายในการเวียนว่ายในสังสารวัฏที่หาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่พบ เพราะแม้ว่าภพภูมิต่างๆ จะน่ารื่นรมย์ สวยสดงดงาม และมีสัมผัสอันเป็นสุขอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนไม่เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถเป็นเจ้าของหรือครอบครองสิ่งใดได้ตลอดไป
วันสิ้นโลก ไม่ใช่ปี 2012 อย่างแน่นอน
2012 ยังไม่ใช่วันสิ้นโลกอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงแสดงถึงการที่โลกถูกทำลายดังนี้ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย สลด สังเวชใจ และหาทางหลุดพ้นในที่สุด ดังที่แสดงใน สุริยสูตร ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนด ควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขุนเขาสิเนรุ โดยยาว 84,000 โยชน์ โดยกว้าง 84,000 โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร 84,000 โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป 84,000 โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคาม และติณชาติที่ใช้เข้ายา ป่าไม้ใหญ่ ย่อมเฉาเหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้ ฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนด ควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏ เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏ แม่น้ำลำคลองทั้งหมด ย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง ควรหลุดพ้น"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏ เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏ แม่น้ำสายใหญ่ๆ คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง ควรหลุดพ้น"
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว หรือสึนามินั้นไม่ได้ครึ่งหนึ่งของการแตกดับของจักรวาลเลยทีเดียว แต่ก็เป็นสัญญาณเตือน เช่น ในยุคที่กิเลสตระกูลราคะ หรือโลภะมาก จะเหนี่ยวนำให้เกิดฝนกรด คือเมื่อความโลภในผลของธุรกิจมากปล่อยแก๊ซเสียออกสู่บรรยากาศ ฝนตกลงมาก็มีกรดติดมาด้วย นี่เป็นสัญญาณเตือนที่ประมาทไม่ได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น